Phramongkolthepmuni
Phramongkolthepmuni
ลำดับที่ 6 สถานที่ค้นคว้าและเผยแผ่วิชชาธรรมกาย
ตั้งอยู่วัดปากน้ำ (พระอารามหลวง) เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร
• วัดปากน้ำ พระอารามหลวง เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ
สถานที่ค้นคว้า และเผยแผ่วิชชาธรรมกาย
พ.ศ. 2461 ได้รับมอบหมายให้ไปเป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
ซึ่งอยู่ในสภาพกึ่งวัดร้าง ท่านไม่ได้ย่อท้อ คิดฟื้นฟูวัดปากน้ำ ให้เจริญรุ่งเรือง ปักหลักเผยแผ่ธรรมปฏิบัติวิชชาธรรมกาย จนมีศิษยานุศิษย์จำนวนมากได้เข้าถึงพระธรรมกาย
และได้มรณภาพเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502
สิริรวมอายุได้ 74 ปี 3 เดือน 24 วัน 53 พรรษา
วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี เป็นวัดโบราณ สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง (ระหว่าง พ.ศ.2031-พ.ศ.2172) สถาปนาโดยพระราชวงศ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯได้มารับตำแหน่งเจ้าอาวาส ท่านได้กวดขันพระภิกษุ-สามเณร ให้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด มีการสอนสมถวิปัสสนากัมมัฏฐาน, ส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรม ด้วยการตั้งสำนักเรียน ทั้งนักธรรมและบาลี, สร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้น ทำให้มีพระภิกษุ-สามเณรและสาธุชนเข้ามาขอศึกษาและปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ จึงกลายเป็นศูนย์กลางการปฏิบัติธรรม และเป็นศูนย์กลางการศึกษาบาลี แม้ภารกิจด้านการบริหาร การปกครอง และการพัฒนาวัดจะมีมากสักเพียงใดก็ตาม แต่พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯก็ไม่เคยละ
ทิ้งการปฏิบัติธรรม รวมถึงการเผยแผ่วิชชาธรรมกาย เพราะท่านถือว่าเป็นภารกิจที่สำคัญอย่างยิ่ง ในขณะที่ท่านศึกษาค้นคว้าวิชชาธรรมกายและสั่งสอนผู้อื่นให้บรรลุธรรมกายไปด้วยนั้น ท่านได้คัดเลือกผู้ที่มีผลการปฏิบัติดีเยี่ยม ทั้งที่เป็นพระภิกษุ, สามเณร, แม่ชี, อุบาสก และอุบาสิกา จำนวนหนึ่ง เพื่อรวมกลุ่มศึกษาค้นคว้าวิชชาธรรมกายที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งๆขึ้นไป เรียกว่า “การทำวิชชาปราบมาร
• ความสำคัญของอนุสรณ์สถานวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ สถานที่ทำวิชชาสู้รบปรบมือกับพญามาร เมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่ พระผู้ปราบมารมาเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ท่านก็เป็นทั้งครูและนักเรียนเป็นครู คือ สอนสมาธิด้วย ในที่สุดก็มีผู้บรรลุธรรมเข้าถึงพระธรรมกายเพิ่มขึ้นอีกมาก เป็นนักเรียน คือ ท่านก็ศึกษาค้นคว้าวิชชาธรรมกายต่อไป จนกระทั่งพบเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องหน้าที่ของท่าน และทีมงานของท่าน ที่ท่านจะต้องลงมาเกิด มาทำงานที่สำคัญ ที่จะมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรม ที่จะไปขจัดต้นตอของกิเลสอาสวะให้หมดสิ้น ตรวจตรามองกันไปเรื่อย ศึกษาไปเรื่อย โดยเข้ากลางของกลางไปตามลำดับ ในที่สุดก็รวบรวมธาตุธรรมพิเศษที่มาเกิดเพื่อการนี้ ที่จะศึกษาค้นคว้าวิชชาธรรมกายรวมกันได้เป็นกลุ่มเป็นก้อน
ตั้งแต่ท่านอายุ ๔๗ ปี ก็เริ่มทำสงครามภายใน ซึ่งเป็นสงครามที่แท้จริง เป็นสงครามที่ไม่ได้ใช้ศาสตราวุธยุทโธปกรณ์ ไม่มีการพลัดพราก มีแต่ความสุขและความบันเทิงทุกขั้นตอนของการทำสงครามที่แท้จริงกับกิเลสอาสวะ และพญามารภายใน ศึกษาค้นคว้ากันเรื่อยไป โดยแบ่งเป็น ๒ กะ กลางวัน ๖ ชั่วโมง กลางคืน ๖ ชั่วโมง ค้นคว้ากันเรื่อยไป
จนกระทั่งถึงยุคที่คุณยายอาจารย์ของเราได้มีส่วนสำคัญในการได้เข้าสู่สมรภูมิรบที่แท้จริง รบกันด้วยธรรมาวุธ ด้วยธรรมกาย ไม่มีการสูญเสียใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากบุญบันเทิงมีความสุขทุกขั้นตอนเรื่อยไป
กระทั่งเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่เกิดการรบราฆ่าฟันกันไปทั่วโลก ท่านก็ศึกษาค้นคว้ากันไปด้วย แก้ไขทุกข์มนุษย์ไปด้วย ศึกษาไป ค้นคว้าไป แก้ไขไม่ให้มนุษย์รบกันเอง เพราะมนุษย์ไม่รู้ว่า เกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายของชีวิต ถูกเขาจับปั่นเหมือนจิ้งหรีดให้กัดกันโดยเอากิเลสอาสวะมาบังคับ และบดบังไม่ให้รู้เป้าหมายชีวิตของตัวเอง ไม่ให้รู้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน ไม่ให้รู้เรื่องราวว่า จะต้องมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรมด้วยกัน ให้รบกันไปอย่างนั้น ท่านก็พยายามแก้ไขเหตุในเหตุกันเรื่อยไป โดยทำทั้งกลางวันและกลางคืน มีทีมงานซึ่งเป็นธาตุธรรมพิเศษอยู่จํานวนหนึ่ง ทั้งอุบาสิกาและพระเณร ได้ประกอบวิชชาธรรมกายกัน
คุณยายอาจารย์ของเราก็เป็นหนึ่งในนั้น ท่านเป็นหัวหน้าเวรขาดรู้ ซึ่งจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องเหตุผล ที่จะตอบกับพระเดชพระคุณหลวงปู่ที่ซักถาม ตามหลักวิชชาทั้งหยาบและละเอียด หยาบก็ถามเกี่ยวกับเรื่องสงครามโลก ละเอียดก็สงครามภายใน ก็แก้ไขกันไปจนกระทั่งสงครามโลกสงบลง
คุณยายอาจารย์ของเราได้รับการยกย่อง จากปากคำของพระเดชพระคุณหลวงปู่ว่า “เป็นหนึ่งไม่มีสอง” พูดครั้งเดียว มีพยานที่เป็นหลักฐานหลายท่านรับรองในคำพูดของพระเดชพระคุณหลวงปู่ ซึ่งคุณยายท่านก็รับฟังด้วยใจที่เป็นปกติ
การศึกษาวิชชาธรรมกาย เป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง จิตต้องบริสุทธิ์และไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้ง ไม่เกาะเกี่ยวกับเรื่องคนสัตว์สิ่งของ จึงจะไปรู้เรื่องราวสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะเรื่องราวเหล่านี้เหลือวิสัยและยากต่อการเข้าใจด้วยวิธีการให้เหตุผลธรรมดา หรือจะไปหาหลักฐานอ้างอิง หรือจะใช้ความนักคิดค้นเดาเอาไม่ได้ และเป็นสิ่งที่นอกเหนือจากนักการศึกษาพระพุทธศาสนา หรือปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาได้ศึกษาค้นคว้า เหมือนใบไม้ในป่าประดู่ลาย
สมัยหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านกอบใบไม้มากำมือหนึ่ง ถามพระภิกษุว่า “ใบไม้ในกำมือ กับใบไม้ในป่าประดู่ ส่วนไหนมีมากกว่ากัน” ภิกษุก็บอกว่า “ใบไม้ในป่าประดู่มีมากกว่าใบไม้ในกำมือ” พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ได้กล่าวเอาไว้ว่า สัพพัญญุตญาณของเรานั้น รู้แจ้ง เห็นแจ้งแทงตลอดในสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งปวง โดยไม่มีขอบเขตจำกัด แต่ว่าสิ่งที่เราเอามาสอนเธอนี่เพียงนิดเดียว เพื่อเป็นทางหลุดทางพ้นจากกิเลสอาสวะ จากภพทั้งสาม จากกฎแห่งกรรมเพื่อหาพระนิพพานให้แจ้งเท่านั้น
วิชชาธรรมกายเหมือนใบไม้ในป่าใหญ่ ซึ่งปราชญ์ในทางพระพุทธศาสนาไม่ได้ให้โอกาสแก่ตัวเองในการศึกษาธรรมปฏิบัติให้ลึกซึ้งขึ้นไป ก็ยากต่อการที่จะเข้าใจ แม้แต่นักวิชาการพระพุทธศาสนาในระดับโลก เมื่อไม่ได้ให้โอกาสตัวเองศึกษา ก็ยากที่จะเข้าใจสิ่งนี้ได้
เพราะฉะนั้น…ค่าว่า “วิชชาธรรมกาย” จึงรู้กันอยู่ในขอบเขตจำกัด สำหรับธาตุธรรมที่พิเศษ คือ ในโรงงานทำวิชชาเท่านั้น นอกนั้นก็รู้แต่เพียงว่า ธรรมกาย คือ พระรัตนตรัยภายในเป็นที่พึ่งที่ระลึก
วิชชาธรรมกายเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะเอาชนะพญามารได้ ที่จะทำให้สันติสุขและสันติภาพของโลกที่แท้จริงบังเกิดขึ้น นอกเหนือจากนี้แล้วสันติภาพของโลก และสันติสุขที่แท้จริงของโลกไม่อาจที่จะเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าด้วยวิธีการใด ๆ ทั้งสิ้น
สุดท้ายนี้…ด้วยบุญที่ทุกคนได้มาพร้อมใจกันประกาศคุณบูชาธรรมพระเดชพระคุณหลวงปู่พระผู้ปราบมาร ในธรรมยาตราเส้นทางพระผู้ปราบมาร ด้วยความเคารพเลื่อมใส ก็จะทำให้เราได้รับอานิสงส์ทำให้เกิดในตระกูลสูง จะเป็นผู้ที่ได้รับการเคารพนับถือกราบไหว้ จะเป็นที่ยกย่องของมหาชน เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย กิตติศัพท์อันดีงามของเราจะฟุ้งขจรขจายไปทั่ว
เราจะได้เกิดในร่มเงาพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย จะเป็นผู้มีศรัทธาตั้งมั่น เป็นสัมมาทิฐิบุคคล จะได้มนุษย์สมบัติอันเลิศ ถึงพร้อมทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ จะมีสมบัติตักไม่พร่อง สมบัติอัศจรรย์ในภพชาติที่มาบังเกิด เมื่อมีทรัพย์แล้วก็จะไม่ตระหนี่ จะมีโอกาสได้ทำบุญในบุญเขตอันเยี่ยมกับทักขิไณยบุคคล จะมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป และก็จะได้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยเร็วพลันเทอญ
โอวาทหลวงพ่อธัมมชโย